https://docs.google.com/viewer?a=v&pid=explorer&chrome=true&srcid=0B_1qWHaLdsM5OGJiMzJlOWQtNmZhOC00NmY5LTljZTgtYWM0YzFmMzBmYTky&hl=en&authkey=CKKJ2YUD
การเทรดโดยใช้ระบบ นอกจากต้องมีระบบแล้ว การที่จะนำระบบไปใช้เทรดกับสินค้าใดๆนั้น จะต้องมีการทดสอบระบบกับสินค้าที่เราจะเทรด โดยใช้ช่วงเวลาที่ทำการทดสอบย้อนหลังยิ่งนาน ผลที่ได้ก็จะมีความน่าเชื่อถือยิ่งขึ้น เพื่อจะให้ได้ข้อมูลดังต่อไปนี้
1. MAX Draw down เพื่อจะได้ประเมินได้ว่าต้องเตรียมเงินทุนเล่นเท่าไหร่ไม่ให้หมดตูดก่อน
2. Most Consecutive of Unprofitable Trades หมายถึง จำนวนการเทรดขาดทุนติดต่อกันมากที่สุดที่ผ่านมา เพื่อที่จะให้ผู้ใช้ระบบ สามารถทำใจไว้ก่อนล่วงหน้า ถึงความล้มเหลวที่อาจพบได้จากการใช้ระบบ
3. Net Profit เพื่อจะได้วัดผลตอบแทนต่อเงินทุนที่เตรียมไว้ว่าคุ้มค่าแค่ไหน
ทั้ง 3 ข้อข้างต้น มีไว้เพื่อให้ผู้ที่จะใช้ระบบ หรือเทรดแนวทางนี้ พอที่จะมองภาพออกว่า สิ่งที่ต้องพบเจอน่าจะมีอาไรบ้าง ถ้ารับได้และเข้าใจก็สามารถทำตามระบบได้อย่างเคร่งครัด ไม่มีการแหกระบโดยนำเอาอารมณ์หรือข่าวสารต่าง ๆ มาเพื่อเข้าข้างตนเอง
จากตารางข้างบน เราใช้ระบบการ Trade แบบ Peak and Trough 1.0. ตาม Document ที่ให้อ่านข้างบน ซึ่งจะเห็นได้ว่า ถ้าเราเทรดโดยใช้แนวทางนี้ True จะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า Advanc ซึ่งวิธีดังกล่าวเราสามารถมาใช้ในการเลือกหุ้นที่อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกันว่าจะเลือกเทรดตัวไหนดีได้
ปล. ทั้งหมดนี้เป็นเพียงการนำเสนอวิธีการเทรดในอีกแนวทางหนึ่งเท่านั้น
คราวนี้มาดูใน SET100 ทั้งหมดบ้างครับ โดยเป็นการเทรดแบบเดิม แต่จะให้ซื้อหรือขายที่ราคา Open ของวันถัดไป ( ประมาณว่ารอตลาดปิดแล้วค่อยดูว่าถ้ามีสัญญาณซื้อ ก็สั่งมาร์ให้ซื้อหรือขายให้ที่ราคา ATO ซึ่งผลตอบแทนที่ได้นั้นได้คิดค่าคอมมิชชั่นเข้าไปด้วยแล้ว)
เมื่อได้ข้อมูลที่ต้องการแล้ว เลือกตัวที่ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีที่แย่ที่สุด ( ประมาณว่าเป็นคนที่ซวยที่สุดในโลก ) และข้อมูลน่าเชื่อถือออกมา อุตสาหกรรมละ 1 ตัว กลุ่มไหนมีตัวเดียวก็เอาอันนั้นแหละ ซึ่งจะได้หุ้นในช่องสีเหลืองออกมารวมเป็น 20 ตัว โดย 20 ตัวนี้จะถือว่าอยู่ในพอร์ตลงทุนเดียวกัน ซึ่งเงินที่กันเผื่อไว้แต่ละตัวสามารถดึงไปใช้ด้วยกันได้ เมื่อเป็นเช่นนี้เราจึงไม่จำเป็นต้องกันเงินเยอะเหมือนการแยกเทรดตัวเดียวโดดๆ ดังนั้นเราจะกันเงินเผื่อไว้แค่ 50% ของจำนวนเงินที่ใช้เทรดในแต่ละครั้ง ( ซึ่งจากประสบการณ์ส่วนตัว 20 % ก็พอ แต่เผื่อไว้เยอะหน่อยก็ดีจะได้ไม่เครียด ) ซึ่งทำให้ได้เงินลงทุนรวมทั้งหมดของพอร์ตเท่ากับ 9 แสนบาท ( 30000*20+(30000*20*50%) ) ซึ่งเมื่อนำข้อมูลไปหาผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีของทั้งพอร์ตจะอยู่ที่ประมาณ 17 % ต่อปี ดังตารางข้า้งล่า่ง
จากการทดสอบที่ทำมาข้างต้น เป็นการทำข้อมูลโดยคร่าวๆ ไม่ได้ลงรายละเอียดมากนัก โดยมีจุดประสงค์เพื่อนำเสนอการลงทุนอีกแนวทางหนึ่ง ที่ให้ผลตอบแทนที่พอเพียง ( ในความคิดของผู้เขียน ) เมื่อเทียบกับเวลาที่ใช้ในการลงทุนวิธีนี้ ซึ่งน่าจะประมาณ 30 นาทีต่อวัน ( หลังตลาดปิด โหลดข้อมูล รันโปรแกรม โทรสั่งมาร์ ) แล้วเอาเวลาที่เหลือไปทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้นดีกว่าครับ ( นี้ก็ผู้เขียนคิดเองอีก )
ปล.ถ้าใครสนใจ ไปนู้นเลย ครับ www.chaloke.com ( โฆษณานิดนึงครับ เพราะตัวเองสอนม่ายเป็น แหะ แหะ ) และ Blog นี้ก็ส่วนตัวไม่เกี่ยวกับเว็บครับ เดี๋ยวเว็บเสียหาย หลังๆมีคนเอาไปแอบอ้างหาเงินเยอะ
โอ๊ะเกือบลีม ขอขอบคุณ คุณลุง โฉลก สัมพันธารักษ์ ( ขออนุญาตเอ่ยนาม ) และเว็บไซด์ โฉลกดอทคอม ที่ทำให้สามารถมาพูดมากได้ทุกวันนี้ ขอขอบคุณครับ
คราวนี้มาดูใน SET100 ทั้งหมดบ้างครับ โดยเป็นการเทรดแบบเดิม แต่จะให้ซื้อหรือขายที่ราคา Open ของวันถัดไป ( ประมาณว่ารอตลาดปิดแล้วค่อยดูว่าถ้ามีสัญญาณซื้อ ก็สั่งมาร์ให้ซื้อหรือขายให้ที่ราคา ATO ซึ่งผลตอบแทนที่ได้นั้นได้คิดค่าคอมมิชชั่นเข้าไปด้วยแล้ว)
เมื่อได้ข้อมูลที่ต้องการแล้ว เลือกตัวที่ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีที่แย่ที่สุด ( ประมาณว่าเป็นคนที่ซวยที่สุดในโลก ) และข้อมูลน่าเชื่อถือออกมา อุตสาหกรรมละ 1 ตัว กลุ่มไหนมีตัวเดียวก็เอาอันนั้นแหละ ซึ่งจะได้หุ้นในช่องสีเหลืองออกมารวมเป็น 20 ตัว โดย 20 ตัวนี้จะถือว่าอยู่ในพอร์ตลงทุนเดียวกัน ซึ่งเงินที่กันเผื่อไว้แต่ละตัวสามารถดึงไปใช้ด้วยกันได้ เมื่อเป็นเช่นนี้เราจึงไม่จำเป็นต้องกันเงินเยอะเหมือนการแยกเทรดตัวเดียวโดดๆ ดังนั้นเราจะกันเงินเผื่อไว้แค่ 50% ของจำนวนเงินที่ใช้เทรดในแต่ละครั้ง ( ซึ่งจากประสบการณ์ส่วนตัว 20 % ก็พอ แต่เผื่อไว้เยอะหน่อยก็ดีจะได้ไม่เครียด ) ซึ่งทำให้ได้เงินลงทุนรวมทั้งหมดของพอร์ตเท่ากับ 9 แสนบาท ( 30000*20+(30000*20*50%) ) ซึ่งเมื่อนำข้อมูลไปหาผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีของทั้งพอร์ตจะอยู่ที่ประมาณ 17 % ต่อปี ดังตารางข้า้งล่า่ง
จากการทดสอบที่ทำมาข้างต้น เป็นการทำข้อมูลโดยคร่าวๆ ไม่ได้ลงรายละเอียดมากนัก โดยมีจุดประสงค์เพื่อนำเสนอการลงทุนอีกแนวทางหนึ่ง ที่ให้ผลตอบแทนที่พอเพียง ( ในความคิดของผู้เขียน ) เมื่อเทียบกับเวลาที่ใช้ในการลงทุนวิธีนี้ ซึ่งน่าจะประมาณ 30 นาทีต่อวัน ( หลังตลาดปิด โหลดข้อมูล รันโปรแกรม โทรสั่งมาร์ ) แล้วเอาเวลาที่เหลือไปทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้นดีกว่าครับ ( นี้ก็ผู้เขียนคิดเองอีก )
ปล.ถ้าใครสนใจ ไปนู้นเลย ครับ www.chaloke.com ( โฆษณานิดนึงครับ เพราะตัวเองสอนม่ายเป็น แหะ แหะ ) และ Blog นี้ก็ส่วนตัวไม่เกี่ยวกับเว็บครับ เดี๋ยวเว็บเสียหาย หลังๆมีคนเอาไปแอบอ้างหาเงินเยอะ
โอ๊ะเกือบลีม ขอขอบคุณ คุณลุง โฉลก สัมพันธารักษ์ ( ขออนุญาตเอ่ยนาม ) และเว็บไซด์ โฉลกดอทคอม ที่ทำให้สามารถมาพูดมากได้ทุกวันนี้ ขอขอบคุณครับ